เมื่อวางแผนเรื่องการซื้อรถไฟฟ้ามาใช้กันเรียบร้อยแล้ว มีอีกหนึ่งเรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อวางแผนนั่นก็คือ ภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งวันนี้เราได้เตรียมข้อมูลภาษีรถยนต์ไฟฟ้า 2567 มาอัปเดตให้กับคุณเรียบร้อยแล้ว ใช้รถไฟฟ้าต้องเสียภาษีอย่างไร มีสิทธิพิเศษทางภาษีอะไรหรือไม่ คุ้มค่ากับการใช้งานมากแค่ไหน ถึงเวลามาเก็บข้อมูลไปใช้กันแล้ว
ภาษีรถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร ต่างจากรถทั่วไปหรือไม่

สำหรับภาษีรถยนต์ไฟฟ้าหรือภาษีรถ EV นั้นถือว่ามีความแตกต่างจากรถยนต์ทั่วไปในบางจุด ซึ่งเป็นการสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อลดมลภาวะที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน ความแตกต่างหลัก ๆ ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน มีดังนี้
- ภาษีรถยนต์ไฟฟ้า EV จะใช้อัตราเดียวกับรถกระบะที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน คือการคิดตามน้ำหนักของรถ ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่ถูกกว่ารถยนต์ทั่วไปที่คิดตามขนาดของความจุกระบอกสูบ
- รถไฟฟ้าที่ผลิตและประกอบภายในประเทศ ตามช่วงราคาต่าง ๆ จะได้รับสิทธิพิเศษหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ส่วนลดอากรขาเข้า ลดภาษีสรรพสามิต ได้รับเงินอุดหนุนตั้งแต่ 70,000 บาทขึ้นไป ส่วนภาษีรถยนต์ไฟฟ้า นําเข้าก็ยังได้ลดภาษีการนำเข้า เพื่อส่งเสริมให้คนหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้นอีกด้วย
อัปเดตอัตราภาษีรถไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ในปี 2567

มาดูกันว่าในปี 2567 นี้ภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งเป็นข้อมูลภาษีรถไฟฟ้าที่ทั้งคนกำลังจะซื้อ และคนที่ซื้อแล้วได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ภาษีรถยนต์ไฟฟ้าคิดยังไงมาดูกัน
ภาษีรถยนต์ไฟฟ้านั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 ที่นั่ง (ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 – 30 ก.ย. 68)
- รถมีน้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 30 บาท
- รถมีน้ำหนัก 501-750 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 60 บาท
- รถมีน้ำหนัก 751-1,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 90 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,001-1,250 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 160 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,251-1,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 200 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,501- 1,750 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 260 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,751-2,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 330 บาท
- รถมีน้ำหนัก 2,001-2,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 380 บาท
- รถมีน้ำหนัก 2,501-3,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 440 บาท
- รถมีน้ำหนัก3,001-3,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 480 บาท
- รถมีน้ำหนัก 3,501-4,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 520 บาท
- รถมีน้ำหนัก 4,001-4,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 560 บาท
- รถมีน้ำหนัก 4,501-5,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 600 บาท
- รถมีน้ำหนัก 5,001-6,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 640 บาท
- รถมีน้ำหนัก 6,001-7,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 680 บาท
- รถมีน้ำหนักมากกว่า 7,001 ขึ้นไป จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 720 บาท
ภาษีรถยนต์ไฟฟ้านั่งส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง (ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 – 30 ก.ย. 68)
- รถมีน้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 15 บาท
- รถมีน้ำหนัก501-750 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 30 บาท
- รถมีน้ำหนัก751-1,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 45 บาท
- รถมีน้ำหนัก1,001-1,250 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 80 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,251-1,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 100 บาท
- รถมีน้ำหนัก1,501- 1,750 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 130 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,751-2,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 160 บาท
- รถมีน้ำหนัก 2,001-2,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 190 บาท
- รถมีน้ำหนัก 2,501-3,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 220 บาท
- รถมีน้ำหนัก 3,001-3,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 240 บาท
- รถมีน้ำหนัก 3,501-4,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 260 บาท
- รถมีน้ำหนัก 4,001-4,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 280 บาท
- รถมีน้ำหนัก 4,501-5,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 300 บาท
- รถมีน้ำหนัก 5,001-6,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 320 บาท
- รถมีน้ำหนัก 6,001-7,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 340 บาท
- รถมีน้ำหนักมากกว่า 7,001 ขึ้นไป จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 360 บาท
ภาษีรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง (ที่จดทะเบียนหลังจากวันที่ หลังจากวันที่ 30 ก.ย. 68)
- รถมีน้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 150 บาท
- รถมีน้ำหนัก 501-750 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 300 บาท
- รถมีน้ำหนัก 751-1,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 450 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,001-1,250 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 800 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,251-1,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,000 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,501- 1,750 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,300 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,751-2,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,600 บาท
- รถมีน้ำหนัก 2,001-2,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,900 บาท
- รถมีน้ำหนัก 2,501-3,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 2,200 บาท
- รถมีน้ำหนัก 3,001-3,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 2,400 บาท
- รถมีน้ำหนัก 3,501-4,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 2,600 บาท
- รถมีน้ำหนัก 4,001-4,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 2,800 บาท
- รถมีน้ำหนัก 4,501-5,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 3,000 บาท
- รถมีน้ำหนัก 5,001-6,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 3,200 บาท
- รถมีน้ำหนัก 6,001-7,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 3,400 บาท
- รถมีน้ำหนักมากกว่า 7,001 ขึ้นไป จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 3,600 บาท
ภาษีรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลเกิน 7 ที่นั่ง (ที่จดทะเบียนหลังจากวันที่ หลังจากวันที่ 30 ก.ย. 68)
- รถมีน้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 75 บาท
- รถมีน้ำหนัก 501-750 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 150 บาท
- รถมีน้ำหนัก 751-1,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 225 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,001-1,250 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 400 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,251-1,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 500 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,501- 1,750 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 650 บาท
- รถมีน้ำหนัก 1,751-2,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 800 บาท
- รถมีน้ำหนัก 2,001-2,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 950 บาท
- รถมีน้ำหนัก 2,501-3,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,100 บาท
- รถมีน้ำหนัก 3,001-3,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,200 บาท
- รถมีน้ำหนัก 3,501-4,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,300 บาท
- รถมีน้ำหนัก 4,001-4,500 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,400 บาท
- รถมีน้ำหนัก 4,501-5,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,500 บาท
- รถมีน้ำหนัก 5,001-6,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,600 บาท
- รถมีน้ำหนัก 6,001-7,000 กิโลกรัม จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,700 บาท
- รถมีน้ำหนักมากกว่า 7,001 ขึ้นไป จะต้องเสียภาษีอยู่ที่ 1,800 บาท
เอกสารที่ต้องใช้สำหรับการต่อภาษีรถยนต์ไฟฟ้า

หลังจากที่คุณรู้กันเรียบร้อยแล้วว่าภาษีรถยนต์ไฟฟ้าต่อปีของรถคุณอยู่ที่เท่าไหร่ เรามาเตรียมตัวเรื่องเอกสารเพื่อยื่นเสียภาษีรถยนต์ไฟฟ้าไปพร้อมกัน
- คู่มือจดทะเบียนรถหรือสำเนาทะเบียนรถ
- หนังสือรับรองการตรวจสภาพรถยนต์ (ตรอ.) ในกรณีที่รถยนต์เข้าเกณฑ์ต้องตรวจสภาพ
- ส่วนท้ายของ พ.ร.บ. รถยนต์ ที่ยังไม่หมดอายุ
ศูนย์รวมรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่ดีที่สุดในไทย MP E-Power
เมื่อได้เห็นสิทธิพิเศษทางภาษีของรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งราคาภาษีที่ไม่แพงกันไปเรียบร้อยแล้ว บอกเลยว่ายิ่งถ้าคุณหันมาใช้ในรูปแบบของรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ด้วยแล้วจะยิ่งช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำไร สร้างความคุ้มค่าให้กับคุณได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน ไม่ว่าคุณจะกำลังทำธุรกิจอะไรอยู่แวะเข้ามาเลือกรถไฟฟ้าจาก MP E-Power ไปใช้เสริมแรงให้ธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นกันได้เลย
หากสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อเข้ามาได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 098-226-9663 E-mail : info@mpepowernex.com หรือที่ LINE พร้อมทั้งติดตามข้อมูลข่าวสารที่อัปเดตแบบสดใหม่ได้ที่ Facebook : NEX by MP E-Power
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีรถยนต์ไฟฟ้า
โครงสร้างภาษีรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างไร
ตามประเภทของรถไฟฟ้าที่คนนิยมใช้กันมากที่สุดคือ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน มาพร้อมโครงสร้างภาษีที่คิดตามน้ำหนักดังนี้
น้ำหนัก ไม่เกิน 500 กก. – เสียภาษี 15 บาท
น้ำหนัก 501 – 750 กก. – เสียภาษี 30 บาท
น้ำหนัก 751 – 1,000 กก. – เสียภาษี 45 บาท
ภาษีรถไฟฟ้า 2566 เท่าไหร่
สำหรับในปี 2566-2567 ยังคงมาพร้อมอัตราภาษีรถไฟฟ้าเท่ากัน โดยใช้อัตราเดียวกันตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 ไปจนถึง 30 กันยายน 2568
ต่อภาษีรถยนต์ไฟฟ้าต้องทำอย่างไร
คุณสามารถดำเนินการเหมือนกับรถยนต์ทั่วไปได้เลย ซึ่งมีเอกสารที่ต้องเตรียมเหมือนกันคือ คู่มือจดทะเบียนรถหรือสำเนาทะเบียนรถ หนังสือรับรองการตรวจสภาพรถยนต์ (ตรอ.) ในกรณีที่รถยนต์เข้าเกณฑ์ต้องตรวจสภาพ และส่วนท้ายของ พ.ร.บ. รถยนต์ ที่ยังไม่หมดอายุ
ลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า 2567 ทำอย่างไร
คุณสามารถสอบถามกับศูนย์รถไฟฟ้าที่คุณสนใจเพื่อรับสิทธิพิเศษตามช่วงเวลาในการซื้อกันได้เลย และแน่นอนว่าเหล่าธุรกิจที่เลือกซื้อรถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จาก Mp E-Power จะมีทีมงานดูแลคุณในส่วนนี้เช่นเดียวกัน